ทดสอบการได้ยิน วัยไหนก็ตรวจได้ - โรงพยาบาลเวชธานี

บทความสุขภาพ

เมื่อไหร่ที่ต้องไปทดสอบการได้ยิน ที่โรงพยาบาล

Share:

ผู้ชายกำลังทดสอบการได้ยิน

การอยู่ในพื้นที่ที่เสียงดังมากจนเกินไปเป็นประจำ หรือการใช้หูฟังที่เปิดเพลงเสียงดังเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยิน หรือสมรรถภาพการได้ยินลดน้อยลง ดังนั้น หากรู้สึกว่าได้ยินเสียงคนอื่นพูดไม่ชัดเจนเหมือนแต่ก่อน ได้ยินเสียงเบาลง มีคนบอกว่าเราพูดเสียงดังกว่าเดิม หรือมีอาการหูอื้อบ่อย ๆ แนะนำให้เข้าทดสอบการได้ยินเพื่อตรวจสอบความผิดปกติ และทำการรักษาก่อนที่จะสายเกินไป

รู้หรือไม่ การได้ยินไม่ชัด ทำร้ายเรามากกว่าที่คิด

หลายคนอาจจะคิดว่าการได้ยินไม่ชัด อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิต แต่แท้จริงแล้ว กระทบถึงคุณภาพการใช้ชีวิต และความปลอดภัย ดังนี้ 

  • ความปลอดภัย การได้ยินเสียงรอบ ๆ ตัวจะช่วยทำให้เราสามารถได้ยินความผิดปกติ หรือเสียงเตือนภัย รวมถึงสามารถบอกทิศทางของเสียงได้ 
  • การสื่อสาร ทำให้เราสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น สามารถพูดคุยและเข้าใจกันมากขึ้น 
  • การทำงานของสมอง การสูญเสียการได้ยินมีความสัมพันธ์กับโรคสมองเสื่อม ซึ่งส่งผลต่อความจำ ความคิด และการใช้เหตุผล
  • สุขภาพจิต เนื่องจากสมองทำงานหนักขึ้น เพื่อที่จะพยายามฟังมากขึ้น

เช็กอาการเบื้องต้น เราควรต้องเข้าทดสอบการได้ยินหรือยัง

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่ามีปัญหาเรื่องระบบการได้ยิน แนะนำให้สำรวจอาการเบื้องต้นดังต่อไปนี้ 

  • ไม่ได้ยินเสียงที่คนอื่นพูดกัน หรือได้ยินเบาลง
  • ต้องถามคนอื่นอยู่บ่อยครั้งว่าพูดอะไร 
  • พูดเสียงดังมากกว่าปกติ 
  • มักจะได้ยินเสียงวี้ด ๆ ในหูอยู่บ่อยครั้ง 
  • หูอื้อบ่อย ๆ 
  • เปิดเสียงโทรทัศน์ เครื่องเสียง หรือโทรศัพท์ดังกว่าปกติ 
  • ได้ยินเสียงสูงไม่ชัด 
  • สมาชิกในครอบครัวมีประวัติการป่วยเรื่องระบบการได้ยิน

การทดสอบการได้ยินคืออะไร

การทดสอบการได้ยิน คือ การทดสอบสมรรถภาพการฟังเสียงว่าอยู่ในระดับใด (เดซิเบล) สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดหรือไม่ โดยการทดสอบจะแบ่งเป็นการตรวจเพื่อคัดกรอง และการตรวจเพื่อวินิจฉัย

การตรวจเพื่อคัดกรอง

วิธีแรกจะเป็นการเคาะส้อมเสียง แล้วดูว่าคนไข้ได้ยินหรือไม่ อีกวิธีหนึ่งจะใช้วิธีนั่งห่างจากคนไข้ประมาณ 1 เมตร จากนั้นพูดถามคำถามคนไข้ หากได้ยินไม่ครบ หรือได้ยินน้อยอาจจะมีความบกพร่องทางการได้ยิน

การตรวจเพื่อ

แบ่งเป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ 

  1. การตรวจโดยการใช้เสียงบริสุทธิ์ โดยค่อย ๆ ลดระดับเสียงลงเรื่อย ๆ แล้วดูว่าคนไข้ได้ยินในช่วงความดังที่เท่าไร ซึ่งเกณฑ์ปกติจะอยู่ที่ -10 ถึง 25 เดซิเบล แต่หากว่าได้ยินมากกว่า 25 เดซิเบล แสดงว่าการได้ยินมีความผิดปกติ
  2. การตรวจโดยการใช้คำพูด อาจจะให้พูดตาม โดยลดระดับเสียงลงเรื่อย ๆ

ผู้ที่ควรเข้ารับการทดสอบการได้ยิน

ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ก็มีโอกาสที่จะมีความผิดปกติทางการได้ยิน ซึ่งหากเกิดขึ้นกับเด็ก ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการได้ พ่อแม่และผู้ปกครองจึงควรสังเกตความผิดปกติ ดังต่อไปนี้

เด็ก

  • มีพัฒนาการทางภาษาช้า หรือขาดทักษะทางการพูด 
  • มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับหู คอ จมูก หรืออาจจะเป็นหวัดเรื้อรังเป็นเวลานาน 
  • เด็กที่คลอดก่อนกำหนด มีภาวะตัวเหลือง หรือตัวเขียว

ผู้ใหญ่

  • ผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีเสียงดังเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 
  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาฆ่าเชื้อวัณโรค, ยาขับปัสสาวะ, การฉีดยาฆ่าเชื้อทางกระแสเลือดบางชนิด
  • มีอาการปวดหู หูอื้อ

ผู้สูงอายุ

  • ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี

แนวทางการรักษา

หากตรวจพบว่าคนไข้มีความผิดปกติทางการได้ยิน แพทย์เฉพาะทางจะวินิจฉัยว่าเป็นความผิดปกติในลักษณะใด เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยแนวทางการรักษาจะมีทั้งการใช้ยารักษาโรค การผ่าตัด หรือการใช้เครื่องช่วยฟัง เพื่อให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับคนปกติทั่วไป 

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าทดสอบการได้ยิน เพื่อตรวจหาความผิดปกติ สามารถติดต่อได้ที่ คลินิกการได้ยิน (Hearing Clinic) ศูนย์หูคอจมูก ชั้น 1 โรงพยาบาลเวชธานี ให้บริการตรวจการทำงานระบบหูชั้นกลาง (Audiogram and Tympanometry) การตรวจสภาพหูชั้นนอก ชั้นใน และแก้วหูด้วยกล้อง (Ear Microscope) และตรวจการได้ยินด้วยนักโสตสัมผัสวิทยา (Audiological Assessment by Audiologist) 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

ศูนย์หูคอจมูก ชั้น 1 โรงพยาบาลเวชธานี
โทรศัพท์ 02-734-0000 ต่อ 3400

  • Readers Rating
  • No Rating Yet!
  • Your Rating




บทความที่เกี่ยวข้อง