กลายปัญหาใหญ่หลังจากการเป็นสิวที่สร้างความกังวลจนหลายคนเสียความมั่นใจไม่น้อย เพราะการเกิดหลุมสิวทำให้ผิวหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากผิวที่เคยเรียบเนียนก็กลับเป็นหลุมบ่อ ดูกี่ทีก็ไม่ประทับใจเสียแล้ว รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของผิวหนังชั้นหนังแท้ ซึ่งประกอบด้วยรูขุมขน ต่อมไขมัน เป็นต้น หลังการอักเสบหายไป โครงสร้างผิวหนังเดิมถูกเปลี่ยนแปลงไป หรือมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ที่เป็นพังพืดขึ้นแทนที่ ทำให้เกิดรอยบุ๋ม เป็นคลื่น หรือ รอยนูน ซึ่งรอยแผลเป็นจากสิว( acne scar) แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
1. รอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุม
ซึ่งรอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุมมีหลายประเภท ทั้งนี้ขึ้นกับ ลักษณะขอบเขตของแผล ก้นของแผล และความลึกของแผล
- Ice Pick Scar รอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุมที่เกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตัน ลักษณะจะเป็นรอยหลุมแคบ ก้นของแผลจะแหลม ด้านข้างของแผลจะชัน คล้ายรูปกรวย ขนาดไม่เกิน 0.5 มม.
- Pitted Scar รอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุมที่มีขอบเขตชัดเจน ก้นของแผลจะตื้นและไม่แหลมเหมือน Ice Pick Scar
- Boxcar scar รอยแผลเป็นหลุมจากสิวที่มีความกว้างปากหลุม และก้นหลุมเท่ากัน มักเกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ หรืออีสุกอีใส เป็นรอยหลุมลึกขอบชัด ขนาด 3-4 มม.
- Rolling Scars รอยแผลเป็นหลุมจากสิวที่มีลักษณะกว้าง และตื้น คล้ายกระทะ ก้นแผลจะดูไม่เรียบ เกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เกิดการยุบตัวลงของผิว รอยยุบเป็นแอ่งกว้างคล้ายกระทะ
2. รอยแผลเป็นจากสิวชนิดนูน (keloid and hypertrphic scar)
ลักษณะเป็นรอยแผลเป็นนูนที่มีลักษณะค่อนข้างแข็งมักมีสีชมพูหรือสีเดียวกับผิวหนัง การรักษารอยแผลเป็นจากสิว ในปัจจุบันมีหลายวิธี เช่น การใช้สารเคมีทาลงบนผิวหน้า (Chemical Peeling) เช่น Trichloroacetic acid (TCA), Alpha Hydoxy Acid (AHA),Tretinoin เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวตื้นขึ้น เหมาะกับรอยหลุมสิวตื้นๆ, ใช้แรงดันจากผงคริสตัลหรือเกร็ดอัญมณีไปขัดเอาผิวหนังชั้นตื้นๆออกไป และไปกระตุ้น ให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ รอยหลุมสิวจึงตื้นขึ้น (Skin Resurfacing Dermabrasion) ซึ่งสองวิธีนี้ต้องทำหลายๆ ครั้งถึงจะเห็นผลที่แตกต่างจากเดิม
วิธีการรักษาหลุมสิวต่อมา
คือ ใช้เครื่องมือที่มีเข็มขนาดเล็กจำนวนมากนำมากลิ้งบนใบหน้า (Skin Needling) เทคนิคนี้จะทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็กบนใบหน้า แต่จะช่วยกระตุ้นการสร้าง คอลลเจนใหม่ ทำให้รอยหลุมสิวตื้นขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิธี Subcision เป็นการใช้เข็มเบอร์ 18 สอดเข้าใต้ผิวที่มีหลุมเพื่อตัดผังผืดที่ดึงรั้งผิวไว้ออกไป ทำให้หลุมตื้นขึ้นโดยเฉพาะหลุมลึก ข้อดีคือเห็นผลเร็วแต่อาจมีผลข้างเคียงคืออาการบวมแดงฟกช้ำหลังทำแต่เป็นไม่นานก็หายเอง
อีกวิธีที่สามารถช่วยได้ก็ คือ การฉีดสารเติมเต็มเข้าในบริเวณรอยหลุมสิว (Filler Injection) และการฉีดยาสเตียรอยด์(Steroid Injection) ในการรักษารอยแผลเป็นนูน ทำให้รอบแผลเป็นนูนยุบลง รวมถึงการผ่าตัด (Scar Excision) เป็นการรักษารอยแผลเป็นโดยตัดเอาแผลเป็นออกมา หลังจากนั้นเย็บปิด แม้ว่าการรักษาจะมีหลายวิธี แต่ด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้นการแก้ไข้ปัญหาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ก็เป็นอีก 1 ทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 แบบคือ Nd-Yag Laser เป็นเทคนิค ที่ใช้เลเซอร์ไปกระตุ้นการสร้างคอลเลาเจนขึ้นใหม่, Fractional Erbium Glass laser ( Fine scan laser) เป็นการใช้แสงเลเซอร์ที่มีช่วงความยาวคลื่น 1550 นาโนเมตร ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นเทคโนโลยี ประเภท Semi ablative fractional laser คือสามารถทำการรักษาแบบปราศจากการเปิดปากแผลโดย ไม่ตัดเจาะทำลายผิวหนังเหมือนเลเซอร์ชนิดอื่น และ Fractional Carbondioxide laser เทคโนโลยีใน การใช้ CO2 Laser ร่วมกับ Fractional Photothermolysis เพื่อกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ ด้วยการปล่อยคลื่นแสงในช่วง 10,600 นาโนเมตร ลงสู่ใต้ผิวหนัง โดยจะลึกกว่า Fractional Erbium Glass laser
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
ศูนย์ผิวหนังและความงาม ชั้น 11 โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-7340000 ต่อ 4200, 4204
- Readers Rating
- Rated 4.8 stars
4.8 / 5 (Reviewers) - Spectacular
- Your Rating