ระวัง มือ เท้า ปาก ในเด็กหากรักษาไม่ทันอาจตายได้ - โรงพยาบาลเวชธานี

บทความสุขภาพ

ระวัง มือ เท้า ปาก ในเด็กหากรักษาไม่ทันอาจตายได้

Share:

ช่วงนี้คงจะได้ยินการระบาดของโรคมือเท้าปากในเด็กกันอย่างกว้างขวาง ยิ่งช่วงเด็กเปิดเทอมการระบาดของโรคยิ่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่มากเพียงพอ หากมีการระบาดมากทำให้บางโรงเรียนในเด็กเล็กต้องประกาศหยุดการเรียนการสอน ซึ่งเรื่องดังกล่าว พญ.มณินทร วรรณรัตน์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายถึงที่มาของโรคมือเท้าปากว่า โรคดังกล่าวเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ได้แก่ คอกซากี่ไวรัส (Coxsackie virus)บางชนิด และเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71)ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ความจริงโรคดังกล่าวจะเกิดประปรายตลอดปีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในหน้าฝน ที่อากาศเย็นและชื้น

พญ.มณินทร กล่าวถึงอาการของโรคว่า หลังจากได้รับเชื้อ 3-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการป่วย เริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1-2 วัน จะมีตุ่มแดงขนาด 2-8 มิลลิเมตรที่ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม ต่อมาจะเห็นเป็นตุ่มน้ำสีเทาเล็กๆ แต่ตุ่มน้ำจะแตกเร็ว เห็นเป็นแผลตื้นๆสีออกเหลืองเทา และมีผื่นแดงล้อมรอบแผลเล็กๆ อาจรวมเป็นแผลขนาดใหญ่ ซึ่งแผลเหล่านี้จะเจ็บและทำให้เด็กไม่รับประทานอาหาร อีกทั้งยังทำให้ลิ้นมีสีแดงและบวมได้ แต่รอยโรคเหล่านี้มักจะหายไปใน 5-10 วัน

ส่วนผื่นที่ผิวหนังนั้น อาจเกิดพร้อมกับแผลในช่องปาก หรือเกิดหลังแผลในช่องปากเล็กน้อย อาจมีเพียง 2-3 จุด หรือมากกว่า 100 จุด โดยพบที่มือมากกว่าที่เท้า รอยโรคมักเป็นที่หลังมือ ด้านข้างของนิ้วมือ หลังเท้าและด้านข้างของนิ้วเท้า มากกว่าที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นได้ด้วย  รอยโรคที่ผิวหนังระยะแรกจะเป็นผื่น หรือตุ่มแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-10 มิลลิเมตร ที่ตรงกลางมีตุ่มน้ำสีเทา มักเรียงตามแนวเส้นของผิวหนัง และมีผื่นแดงล้อมรอบ ผื่นเหล่านี้จะคงอยู่ได้ 2-3 วัน อาจมีอาการเจ็บ กดเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้ ต่อมาจะเป็นะสเก็ดและตกสะเก็ดใน 7-10 วัน จนผิวแลดูปกติไม่มีแผลเป็น

สำหรับความรุนแรงของโรคนั้น พญ.มณินทร กล่าวว่า มีตั้งแต่น้อยจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งการติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ปากโดยตรงและในสัปดาห์แรกของการป่วยจะติดต่อง่าย โดยเชื้อไวรัสอาจติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย รวมถึงการไอจามรดกัน ซึ่งการแพร่กระจายเชื้อจะเกิดง่ายมากในเด็กเล็กที่ชอบเล่นคลุกคลีใกล้ชิดกันในโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือญาติพี่น้องที่อยู่รวมกันมากๆ รวมถึงการเล่นของเล่นในที่สาธารณะ ซึ่งในระยะที่เด็กมีอาการทุเลาหรือหายป่วยแล้วประมาณ 1 เดือน ยังคงพบเชื้อในอุจจาระแต่การติดต่อในระยะนี้จะเกิดขึ้นได้น้อย

พญ.มณินทร อธิบายถึงวิธีการรักษาว่า โรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ ซึ่งเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เช่น หากมีไข้แพทย์จะให้ยาลดไข้ ร่วมกับการเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะ ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำและน้ำผลไม้ โดยพิจารณาให้ครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง หากเป็นเด็กอ่อนอาจต้องป้อนนมให้แทนการดูดจากขวดตามปกติ และการรับประทานนมเย็น อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆหรือไอศครีม จะทำให้แผลไม่ค่อยเจ็บ แต่หากแผลในปากเจ็บมากแพทย์อาจใช้ยาชาเพื่อทุเลาอาการเจ็บ ซึ่งตามหลักแล้วโรคมักไม่รุนแรงและไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่เชื้อไวรัสบางชนิดอาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ จึงควรสังเกตุอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมรับประทานอาหารและดื่มน้ำ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง อาจเกิดภาวะสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที

ส่วนการป้องกันโรคมือเท้าปากนั้น พญ.มณินทร แนะนำว่า โรคดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัย ผู้ปกครองควรแนะนำบุตรหลานและผู้เลี้ยงดูเด็กให้รักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะหลังการขับถ่าย และก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น  สำหรับสถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือ ที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกต้องด้วย

หากพบเด็กป่วย ต้องรีบป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ควรแนะนำผู้ปกครองให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์และหยุดพักรักษาตัวที่บ้านประมาณ 7 วัน หรือจนกกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย หากมีเด็กป่วยจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องปิดสถานที่ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค โดยใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนผสมกับน้ำ 30 ส่วน

อย่างไรก็ตาม โรคมือเท้าปากโดยทั่วไปกรณีที่เป็นไม่รุนแรงสามารถหายได้เองภายในเวลา 5-7 วัน หรือไม่เกิน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเด็กมีไข้สูง รับประทานอาหารได้น้อยมาก ซึมลง หรือมีอาการชัก ควรรีบพบแพทย์และที่สำคัญที่สุดในการดูแลตัวเอง คือ รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ช้อนกลาง และล้างมือ

ช่วงนี้คงจะได้ยินการระบาดของโรคมือเท้าปากในเด็กกันอย่างกว้างขวาง ยิ่งช่วงเด็กเปิดเทอมการระบาดของโรคยิ่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กยังไม่มีภูมิคุ้มกันที่มากเพียงพอ หากมีการระบาดมากทำให้บางโรงเรียนในเด็กเล็กต้องประกาศหยุดการเรียนการสอน ซึ่งเรื่องดังกล่าว พญ.มณินทร วรรณรัตน์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายถึงที่มาของโรคมือเท้าปากว่า โรคดังกล่าวเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ได้แก่ คอกซากี่ไวรัส (Coxsackie virus)บางชนิด และเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71)ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ความจริงโรคดังกล่าวจะเกิดประปรายตลอดปีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในหน้าฝน ที่อากาศเย็นและชื้น

พญ.มณินทร กล่าวถึงอาการของโรคว่า หลังจากได้รับเชื้อ 3-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการป่วย เริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1-2 วัน จะมีตุ่มแดงขนาด 2-8 มิลลิเมตรที่ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม ต่อมาจะเห็นเป็นตุ่มน้ำสีเทาเล็กๆ แต่ตุ่มน้ำจะแตกเร็ว เห็นเป็นแผลตื้นๆสีออกเหลืองเทา และมีผื่นแดงล้อมรอบแผลเล็กๆ อาจรวมเป็นแผลขนาดใหญ่ ซึ่งแผลเหล่านี้จะเจ็บและทำให้เด็กไม่รับประทานอาหาร อีกทั้งยังทำให้ลิ้นมีสีแดงและบวมได้ แต่รอยโรคเหล่านี้มักจะหายไปใน 5-10 วัน

ส่วนผื่นที่ผิวหนังนั้น อาจเกิดพร้อมกับแผลในช่องปาก หรือเกิดหลังแผลในช่องปากเล็กน้อย อาจมีเพียง 2-3 จุด หรือมากกว่า 100 จุด โดยพบที่มือมากกว่าที่เท้า รอยโรคมักเป็นที่หลังมือ ด้านข้างของนิ้วมือ หลังเท้าและด้านข้างของนิ้วเท้า มากกว่าที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นได้ด้วย  รอยโรคที่ผิวหนังระยะแรกจะเป็นผื่น หรือตุ่มแดงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-10 มิลลิเมตร ที่ตรงกลางมีตุ่มน้ำสีเทา มักเรียงตามแนวเส้นของผิวหนัง และมีผื่นแดงล้อมรอบ ผื่นเหล่านี้จะคงอยู่ได้ 2-3 วัน อาจมีอาการเจ็บ กดเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้ ต่อมาจะเป็นะสเก็ดและตกสะเก็ดใน 7-10 วัน จนผิวแลดูปกติไม่มีแผลเป็น

สำหรับความรุนแรงของโรคนั้น พญ.มณินทร กล่าวว่า มีตั้งแต่น้อยจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งการติดต่อส่วนใหญ่เกิดจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ปากโดยตรงและในสัปดาห์แรกของการป่วยจะติดต่อง่าย โดยเชื้อไวรัสอาจติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผล หรืออุจจาระของผู้ป่วย รวมถึงการไอจามรดกัน ซึ่งการแพร่กระจายเชื้อจะเกิดง่ายมากในเด็กเล็กที่ชอบเล่นคลุกคลีใกล้ชิดกันในโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือญาติพี่น้องที่อยู่รวมกันมากๆ รวมถึงการเล่นของเล่นในที่สาธารณะ ซึ่งในระยะที่เด็กมีอาการทุเลาหรือหายป่วยแล้วประมาณ 1 เดือน ยังคงพบเชื้อในอุจจาระแต่การติดต่อในระยะนี้จะเกิดขึ้นได้น้อย

พญ.มณินทร อธิบายถึงวิธีการรักษาว่า โรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกันและไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ ซึ่งเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เช่น หากมีไข้แพทย์จะให้ยาลดไข้ ร่วมกับการเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะ ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด ดื่มน้ำและน้ำผลไม้ โดยพิจารณาให้ครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง หากเป็นเด็กอ่อนอาจต้องป้อนนมให้แทนการดูดจากขวดตามปกติ และการรับประทานนมเย็น อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆหรือไอศครีม จะทำให้แผลไม่ค่อยเจ็บ แต่หากแผลในปากเจ็บมากแพทย์อาจใช้ยาชาเพื่อทุเลาอาการเจ็บ ซึ่งตามหลักแล้วโรคมักไม่รุนแรงและไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่เชื้อไวรัสบางชนิดอาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ จึงควรสังเกตุอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมรับประทานอาหารและดื่มน้ำ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง อาจเกิดภาวะสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที

ส่วนการป้องกันโรคมือเท้าปากนั้น พญ.มณินทร แนะนำว่า โรคดังกล่าวสามารถป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัย ผู้ปกครองควรแนะนำบุตรหลานและผู้เลี้ยงดูเด็กให้รักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะหลังการขับถ่าย และก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น  สำหรับสถานเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือ ที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกต้องด้วย

หากพบเด็กป่วย ต้องรีบป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ควรแนะนำผู้ปกครองให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์และหยุดพักรักษาตัวที่บ้านประมาณ 7 วัน หรือจนกกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย หากมีเด็กป่วยจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องปิดสถานที่ชั่วคราวประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค โดยใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนผสมกับน้ำ 30 ส่วน

อย่างไรก็ตาม โรคมือเท้าปากโดยทั่วไปกรณีที่เป็นไม่รุนแรงสามารถหายได้เองภายในเวลา 5-7 วัน หรือไม่เกิน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าเด็กมีไข้สูง รับประทานอาหารได้น้อยมาก ซึมลง หรือมีอาการชัก ควรรีบพบแพทย์และที่สำคัญที่สุดในการดูแลตัวเอง คือ รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ ช้อนกลาง และล้างมือ

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 0-27340000 ต่อ 3310, 3312, 3319

  • Readers Rating
  • Rated 4 stars
    4 / 5 (3 )
  • Your Rating