เช็กด่วน ! ปวดคอแบบไหน ที่อาจอันตรายถึงชีวิต | Vejthani

บทความสุขภาพ

ปวดคอแบบไหนส่ออันตราย

Share:

อาการปวดบริเวณต้นคอ บ่า สะบัก เชื่อว่าหลายท่านคงเคยเกิดอาการลักษณะนี้มาก่อน และบางรายหาทางออกด้วยการใช้บริการนวดแผนโบราณ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง มากน้อยแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ก็หวนกลับมาเป็นอีก บางรายปวดเรื้อรังจนแยกไม่ออกว่าเป็นแค่ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดเพราะสาเหตุอื่น

อาการปวดคอพบได้ในคนหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะผู้ที่นั่งทำงานในสำนักงาน หรือชาวออฟฟิศนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือพิมพ์แป้นพิมพ์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ เป็นสาเหตุของอาการปวดคอที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์บ่อยมาก อาจปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อจะไม่ค่อยก่อปัญหาอะไรมาก แต่ถ้าปวดรุนแรงมากเพราะหมอนรองกระดูกสันหลังบริเวณกระดูกต้นคอเสื่อม แล้วเคลื่อนไปทับเส้นประสาท หรือไขสันหลัง อาการปวดชนิดนี้นับว่าเป็นอันตราย

รู้จักหมอนรองกระดูก

คอและหลังของคนเราจะประกอบด้วยกระดูกสันหลังหลายๆ ข้อมาต่อกัน ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อจะมีหมอนรองกระดูกคั่นอยู่ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ วงรอบนอกมีลักษณะเป็นวงแหวนที่มีความหยุ่น เหนียว คล้ายยางรถยนต์ ทำหน้าที่ยึดระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ และใจกลางวงแหวนนี้จะมีลักษณะเป็นเหมือนเจล ทั้งหมดมีหน้าที่รับแรงกระแทกและมีความยืดหยุ่นในตัว ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้ทั้งก้ม แอ่น หรือบิดเอี้ยว

สาเหตุของหมอนรองกระดูกเสื่อม นอกจากพฤติกรรมการใช้งานคอและหลังแบบผิดๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานแล้ว อายุที่มากขึ้นก็เป็นสาเหตุของหมอนรองกระดูกเสื่อมเช่นกัน ซึ่งเมื่ออายุเกิน 30-35ปี โปรตีนที่อยู่ในเจลซึ่งอยู่ข้างในหมอนรองกระดูก รวมถึงวงแหวนรอบนอกจะเริ่มเสื่อม อีกทั้งยังสูญเสียความยืดหยุ่นและคุณสมบัติการรับแรงกระแทก ทำให้เวลาขยับตัว กระแทก หรือใช้งานมากๆ จะทำให้วงแหวนที่อยู่รอบๆ เจลเปื่อยยุ่ยและฉีกขาดในที่สุด จนเนื้อของหมอนรองกระดูกเกิดการเคลื่อนไปข้างหลัง เบียดอวัยวะสำคัญที่คอ คือไขสันหลังที่ต่อมาจากสมอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย นอกจากนี้ เมื่อหมอนรองกระดูกเกิดการเสื่อมสภาพจะทำให้ความแข็งแรงในการยึดกันของข้อกระดูกสันหลังลดลง ร่างกายจะพยายามสร้างหินปูน หรือสร้างเนื้อเยื่อโดยรอบข้อต่อให้หนาตัวมากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง ซึ่งการหนาตัวของเนื้อเยื่อเหล่านี้ส่งผลทำให้ไขสันหลังถูกกดทับมากขึ้น

อาการหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม

ระยะแรกอาจแยกไม่ออกว่าอาการปวดคอนั้น เป็นอาการปวดทั่วๆ ไป หรือปวดเพราะหมอนรองกระดูกเสื่อม แต่สามารถสังเกตได้โดยถ้าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อจะมีอาการเมื่อใช้งาน พอได้พักอาการจะดีขึ้น แต่กรณีที่เกิดจากหมอนรองกระดูกเสื่อม แม้จะพักผ่อนแล้วอาการจะยังไม่ดีขึ้นและยังคงปวดต่อเนื่อง

อาการปวดคอแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

  1. กลุ่มที่มีอาการปวดคออย่างเดียว ปวดมาถึงบ่าและสะบัก กลุ่มนี้ถึงแม้จะรักษาค่อนข้างง่าย แต่ก็เป็นอันตรายหรือภัยเงียบด้วยเช่นกัน เพราะผู้ป่วยคิดว่าไม่อันตรายจึงไม่มาพบแพทย์ แต่ความจริงแล้วควรมาพบแพทย์เพื่อแยกว่าเป็น Office Syndrome หรือหมอนรองกระดูกเสื่อม
  2. กลุ่มที่ปวดเพราะมีการกดทับเส้นประสาท มีอาการแสดงคือ ปวดร้าวลงแขนไปจนถึงมือร่วมกับอาการชา รายที่เป็นมากๆ อาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย เช่น ยกไหลไม่ขึ้น ขยับนิ้ว หรือกระดกข้อมือไม่ขึ้น นอกจากนี้ หากมีการกดทับเส้นประสาทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับส่วนใด จะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นลีบลงด้วย บางครั้งอาจลีบถาวร ถึงแม้จะรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วก็ตาม แต่ก็มีโอกาสหายมากกว่ากลุ่มที่หมอนรองกระดูกเสื่อมแล้วไปกดทับไขสันหลัง
  3. กลุ่มที่ปวดเพราะมีการกดทับไขสันหลัง กลุ่มนี้จะมีอาการแสดงที่ไม่ชัดเจน กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวก็มักจะเป็นมากแล้ว ผู้ป่วยอาจมีประวัติปวดคอเรื้อรัง ร่วมกับปวดลงแขนหรือลงขา หรือมีอาการชาร่วมด้วย ไปจนถึงมีอาการอ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อบางส่วนเจ็บ กล้ามเนื้อมือลีบ หยิบจับของเล็กๆ หรือใช้มือทำงานที่ละเอียด เช่น กลัดกระดุม ผูกเชือกรองเท้าไม่ถนัด ตลอดจนมีอาการเดินเซ สูญเสียการทรงตัวหรืออาจถึงขั้นควบคุมระบบการขับถ่ายได้ลำบาก

ในอดีตการรักษาโรคหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมด้วยการผ่าตัด เป็นการรักษาที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง เพราะระยะห่างระหว่างหมอนรองกระดูกกับเส้นประสาทห่างกันประมาณเพียง1 มิลลิเมตร หรือไม่ถึงมิลลิเมตร แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ทันสมัย จึงมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น โดยใช้กล้องขยายที่เรียกว่า “ไมโครสโคป” (Spine microscope) หลักการเหมือนกล้องจุลทรรศ์ที่นักเรียนใช้ดูจุลินทรีย์ในห้องทดลอง เป็นการส่องอนุภาคเล็กๆ ให้ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้มองเห็นชัดเจนและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่าตัด

ส่วนผลการผ่าตัดถ้าแก้ไขตรงจุดหรือไม่ปล่อยให้อาการเลวร้ายจนเกินไป จะช่วยให้อาการปวด อาการชาจะหายไป และกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงจะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการปวดคอ

ควรทำกายบริหารโดยพยายามออกกำลังกล้ามเนื้อรอบคอให้แข็งแรงขึ้น เนื่องจากในชีวิตประจำวัน คนส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อบริเวณคอเลย โดยสามารถบริหารกล้ามเนื้อคอได้ด้วยการยืดและเกร็งกล้ามเนื้อ ดังนี้

  1. การยืดกล้ามเนื้อ ก้มให้คางชิดอกค้างไว้ นับ10 วินาที แล้วเงยหน้าขึ้นในทิศทางตรงข้ามค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกันแต่ให้หันหน้าและเอียงศีรษะไปในทิศทางซ้ายและขวา ค้างไว้ข้างละ 10 วินาที เพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อและข้อต่อให้มีการเคลื่อนไหว
  2. การเกร็งกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความแข็งแรงและความทนทานให้กล้ามเนื้อคอ ด้วยการเอามือดันศีรษะไว้ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ขณะเดียวกันก็พยายามเกร็งคอเพื่อต้านแรงดันจากมือที่ดันศีรษะไว้ ให้ทำทุกทิศทางทั้งดันขมับด้านซ้ายและขวา หน้าผากและท้ายทอย การทำเช่นนี้จะช่วยให้คอได้ออกกำลังกาย
  3. เกร็งคอต้านแรงดันจากมือที่ดันหน้าผากและท้ายทอย
  4. เกร็งคอต้านแรงดันจากมือที่ดันขมับด้านซ้ายและขวา

ผู้ที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดคอส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าอาการที่เป็นรุนแรงถึงขั้นเป็นหมอนรองกระดูกกดทับไขสันหลัง บางครั้งมาพบแพทย์เมื่ออาการรุนแรงแล้ว เช่น เสียการทรงตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควบคุมความสมดุลของร่างกายไม่ดี หกล้มง่าย หรือใช้มือทำงานที่มีความละเอียดไม่ได้ ดังนั้น ควรสังเกตอาการหรือความผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอ แล้วรีบมาพบแพทย์เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการรักษา

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5500

  • Readers Rating
  • Rated 3.6 stars
    3.6 / 5 (71 )
  • Your Rating