หลายต่อหลายคนมักสับสน ระหว่าง “ยาแก้อักเสบ” กับ “ยาปฏิชีวนะ” ว่าใช่ยาชนิดเดียวกันหรือไม่ และฆ่าเชื้ออะไรได้บ้าง ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานี จะพามาไขคำตอบนี้กันค่ะ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics หรือ Antibacterial) หมายถึง สารเคมีที่ได้จากเชื้อจุลชีพชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ หรือ จากการสังเคราะห์ ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ส่วนการติดเชื้อชนิดอื่น เช่น ไวรัส เชื้อรา ไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาได้
ยาแก้อักเสบ หรือ ยาต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory Drugs) หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ได้แก่ อาการปวด อาการบวมแดง และไข้ โดยไม่มีฤทธิ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าเชื้อจุลชีพ เช่น ยาไอบูโพรเฟ่น ยาไดโครฟีแนค และยาแอสไพริน เป็นต้น
จากข้อมูลข้างต้น บ่งชี้ได้ว่า ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่
- โรคปอดอักเสบ (Pneumonia)
- วัณโรคปอด (Tuberculosis)
- การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ (Urinary tract infections)
- ต่อมทอนซิลอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria Tonsillitis)
ตัวอย่าง “ยาปฏิชีวนะ” ที่เป็นที่รู้จัก
- เพนิซิลลิน (Penicillin)
- อะม็อกซีซิลลิน (Amoxycillin)
- แอมพิซิลลิน (Ampicillin)
- อิริโทรไมซิน (Erythromycin)
- เตตร้าไซคลิน (Tetracycline)
- คลินด้าไมซิน (Clindamycin)
- นอร์ฟรอกซาซิน (Norfloxacin)
3 ข้อสำคัญ ในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกวิธี : เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรค สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกวิธี โดยต้องยึดหลัก 3 ประการนี้ในการใช้ยา
- รับประทานยาถูกขนาดตามที่แพทย์สั่ง
- รับประทานตรงตามกำหนดเวลา
- รับประทานจนครบจำนวน ครบระยะการรักษา ไม่หยุดยาก่อน
ข้อเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี
แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพัฒนาตัวเอง เพื่อป้องกันการถูกทำลายจากยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผนังเซลล์ให้หนาขึ้น สร้างตัวปั๊มเพื่อปั๊มยาออกจากเซลล์ หรือสร้างตัวรับยาหลอก ๆ ให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อเซลล์ได้
ดังนั้น หากรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ต่อเนื่อง ผิดขนาด หรือใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ อาจทำให้ปริมาณยาไม่เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อให้ตายได้ แต่พอที่จะกระตุ้นให้เชื้อพัฒนาตัวเอง และดื้อยาในที่สุด ซึ่งในวงการสาธารสุข ทั้งในประเทศไทย และองค์การอนามัยโลก (WHO) ต่างให้ความตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะการเกิดเชื้อดื้อยาถือเป็นปัญหาระดับโลก และหากยังใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี ในอนาคตอาจเกิดปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อต่อยาทุกชนิด และไม่สามารถรักษาได้
ข้อควรรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ
โดยปกติแล้วเชื้อที่ก่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจกว่า 80% มักเป็นเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไข้ ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะในการติดเชื้อไวรัส จะไม่เกิดประโยชน์ในการรักษาโรค นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา และเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา เช่น ท้องเสีย เนื่องจากยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกาย ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำทำให้ติดเชื้อได้ง่าย แพ้ยา เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนรับประทานยาปฏิชีวนะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยแยกโรคติดเชื้อที่ถูกต้อง หรือปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง
ดังนั้น หากเกิดอาการเจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล มีไข้ต่ำ ๆ จึงสันนิฐานได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลตัวเองเบื้องต้น เพียงแค่พักผ่อนทำร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร่างกายของเราก็จะสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื่อไวรัสเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
- Readers Rating
- Rated 3.8 stars
3.8 / 5 (Reviewers) - Excellent
- Your Rating