กระดูกหัก Q&A ล้าอาการบาดเจ็บที่นักวิ่งไม่อยากเจอ - Vejthani Hospital

บทความสุขภาพ

Q&A กระดูกหัก ล้าอาการบาดเจ็บที่นักวิ่งไม่อยากเจอ

Share:

Q : กระดูกหัก ล้าคืออะไร ?
A : กระดูกหัก ล้าคือการหักของกระดูกที่เกิดจากการใช้งานซ้ำๆ ออกกำลังกายหนักมาก ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและไม่สามารถรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทก เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนล้าแล้วจะส่งผลให้เพิ่มแรงกระทำมาที่กระดูกมากขึ้น ทำให้เกิดการแตกหักเล็กๆขึ้นภายในโครงสร้างของกระดูก

Q : สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดกระดูกหักล้าคืออะไร ?
A:สาเหตุของกระดูกหักล้าเป็นผลมาจากการเพิ่มระยะทาง เวลาและความรุนแรง(Intensity)ของการวิ่งอย่างรวดเร็ว หรือการออกกำลังกายในพื้นผิวที่ไม่คุ้นเคย เช่น เคยวิ่งในลู่วิ่งที่รองรับแรงกระแทก แล้วเปลี่ยนมาวิ่งบนถนนที่แข็ง รวมทั้งการใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพเท้าและการใช้งานก็อาจส่งผลให้เกิดกระดูกหักล้าได้

Q : กระดูกหักล้าเกิดขึ้นที่กระดูกส่วนไหน ?
A : กระดูกหักล้าส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณกระดูกที่ต้องรองรับน้ำหนักและแรงกระแทก ซึ่งพบได้ในกระดูกขาส่วนล่าง และกระดูกบริเวณเท้า พบได้บ่อยที่สุดคือกระดูกหน้าแข้ง

Q : จะรู้ได้อย่างไรว่ามีกระดูกหักล้า ?
A : อาการของกระดูกหักล้า คือจะมีอาการปวดเมื่อมีกิจกรรม อาจไม่แสดงอาการปวดเวลาเดิน แต่อาการปวดจะเกิดขึ้นเมื่อวิ่ง หยุดวิ่งแล้วหายไป พอวิ่งอีกก็จะมีอาการปวดอีก จนไม่สามารถวิ่งได้ ต้องหยุดพัก เป็นอย่างนี้อยู่ซ้ำ ๆไม่ยอมหายไป

Q : ขั้นตอนวินิจฉัยอาการ ?
A:สามารถวินิจฉัยกระดูกหักล้าจากการซักประวัติถึงปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดกระดูกหักล้า เช่น มีการออกกำลังกายที่เพิ่มระดับความแรงอย่างรวดเร็ว ร่วมกับการสแกนกระดูก(Bone Scan) เนื่องจากการแตกหักของโครงสร้างในกระดูกมีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถเห็นได้จากการทำเอกซเรย์ปกติ

Q : รักษากระดูกหักล้าได้อย่างไร ?
A:การรักษากระดูกหักล้าคือ พักการใช้งาน ส่วนที่มีกระดูกหัก เพื่อให้กระดูกรักษาตัวเอง ส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ก่อนกลับมาออกกำลังกายหรือวิ่งอีกครั้ง ควรมั่นใจว่าไม่มีอาการปวดเหลืออยู่อีกเลย หากกลับไปวิ่งทั้งที่ยังมีอาการปวดอยู่อาจทำให้เกิดกระดูกหักล้ามากขึ้น และกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

Q : วิธีป้องกันกระดูกหัก
A :  1.เพิ่มความแรง ระยะทางและระยะเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการวิ่งหรือออกกำลังกาย
2.สับเปลี่ยนชนิดการออกกำลังกายแบบอื่นบ้าง เสริมสร้างความแข็งกล้ามเนื้อ และความยืดหยุ่นของร่างกายเพื่อช่วยป้องการการบาดเจ็บ

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดีสูง
  • ใช้อุปกรณ์สำหรับการเล่นกีฬาที่เหมาะสม สวมใส่รองเท้าเหมาะกับสภาพเท้าและการใช้งาน
  • เมื่อมีอาการปวด บวม เกิดขึ้น ควรหยุดพัก2-3 วัน และถ้าอาการปวด บวมยังไม่หายไปควรรีบรักษาโดยทันที

ติดตามสาระความรู้เวชศาสตร์การกีฬาได้ที่ Facebook : ด็อกเตอร์สปอร์ต

  • Readers Rating
  • Rated 5 stars
    5 / 5 (2 )
  • Your Rating