ไขมันพอกตับ ! โรคน่ากลัวจากพฤติกรรมการกิน - โรงพยาบาลเวชธานี

บทความสุขภาพ

ไขมันพอกตับ คนผอมก็เป็นได้ หากกินตามใจปากมากไป

Share:

ภาวะไขมันพอกตับ เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการกิน

“ไขมันพอกตับ” เป็นหนึ่งโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่สนใจเรื่องโภชนาการ และตามใจปาก กินแต่อาหารที่อุดมไปด้วยแป้ง น้ำตาล และไขมันมากเกินไป จนร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานดังกล่าวได้ และสะสมอยู่ในตับ ทำให้ตับทำงานผิดปกติ ท้ายที่สุดอาจจะนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้

ไขมันพอกตับคืออะไร ?

ไขมันพอกตับ คือ ภาวะที่ตับมีไขมันแทรกหรือสะสมเกินกว่า 5% ของน้ำหนักตับ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับคนที่มีภาวะน้ำหนักเกินและคนที่น้ำหนักปกติ โดยส่วนใหญ่ไขมันที่สะสมจะเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันไม่ดี ทำให้เสี่ยงต่อโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา

สาเหตุสำคัญของไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการกินอาหาร ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสาเหตุหลัก ดังนี้

  1. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือ Alcoholic Fatty Liver Disease เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเป็นประจำ ทำให้เกิดภาวะไขมันสะสมที่ตับ และนำไปสู่โรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ 
  2. การบริโภคอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีระดับความหวาน 100% ขนมหวาน ขนมปัง เค้ก อาหารทอด หมูสามชั้น
  3. ผลข้างเคียงจากการกินยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs สเตียรอยด์ ยาต้านฮอร์โมน หรือยาอื่น ๆ

ใครคือกลุ่มเสี่ยง ?

ไขมันพอกตับ ส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการให้เห็นเด่นชัด จนกว่าตับจะเกิดภาวะอักเสบ หรือมีภาวะของตับแข็ง แต่หากว่าใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แนะนำให้ตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยมีกลุ่มเสี่ยง ดังนี้

  • ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือกลุ่มอ้วนลงพุง โดยผู้ชายจะมีรอบเอวเกิน 100 เซนติเมตร และผู้หญิงจะเกิน 90 เซนติเมตร 
  • ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงเกินกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร 
  • ผู้ที่มีภาวะโรคความดันสูง เกินกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท 
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร   
  • ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 
  • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

ระยะของโรค

ในทางการแพทย์ สามารถแบ่งระยะของไขมันพอกตับเป็นทั้งหมด 4 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 เกิดการสะสมของไขมันในตับ ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ มักพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือมีค่าตับที่ผิดปกติ 

ระยะที่ 2 ตับเริ่มมีการอักเสบ โดยพบว่าการทำงานของตับผิดปกติ หากไม่ได้รักษาอาจจะทำให้เกิดภาวะเรื้อรังได้

ระยะที่ 3 ตับมีพังผืดในเนื้อตับ สามารถหายได้ หากได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี 

ระยะที่ 4 ตับแข็ง มีพังผืดเต็มเนื้อตับ ทำให้ตับวาย หรือเป็นมะเร็งตับได้ 

ทั้งนี้ระยะที่ 1 จะเป็นระยะที่รักษาได้ง่ายที่สุด แต่ก็สังเกตได้ยากที่สุด แนะนำให้ตรวจร่างกายและตรวจการทำงานของตับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้สังเกตหาความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว

แนวทางการตรวจวินิจฉัย

สำหรับการตรวจวินิจฉัยภาวะไขมันพอกตับสามารถทำได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้ 

  • ตรวจเลือด เพื่อดูค่าการทำงานที่ผิดปกติของตับ หากพบว่าการทำงานของตับผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์และตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม 
  • อัลตราซาวนด์ สามารถเห็นความผิดปกติได้ เมื่อมีไขมันสะสมมากกว่า 30% ขึ้นไป 
  • ตรวจด้วยเครื่อง Liver Fibrosis Scan เพื่อหาภาวะพังผืดและปริมาณไขมันสะสมในตับ 
  • ตรวจชิ้นเนื้อตับ หรือตัวอย่างเนื้อเยื่อ เพื่อตรวจหาภาวะความผิดปกติต่าง ๆ

การดูแล ป้องกัน และรักษา

  ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการกินอาหาร ซึ่งหากตรวจพบว่ามีภาวะดังกล่าว แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน วันละ 30 นาที 
  • ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • งดอาหารที่มีปริมาณแป้ง น้ำตาล และไขมันในระดับที่สูง แนะนำให้กินผักและผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ 
  • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจเลือดหาความผิดปกติ ทั้งค่าการทำงานของตับ ไขมันในเลือด และน้ำตาลในเลือด

ตรวจภาวะไขมันพอกตับที่โรงพยาบาลเวชธานี

ใครกำลังมีพฤติกรรมการกิน โดยไม่สนใจโภชนาการ บริโภคหวาน มัน แป้ง มากเกินไป แล้วไม่ออกกำลังกายเลย ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จนส่งผลให้คอเลสเตอรอลเกิน ไตรกลีเซอไรด์พุ่ง โดยเฉพาะค่าน้ำตาลในเลือด นอกจะเป็นจุดเริ่มต้นของโรคอ้วนแล้ว ยังเสี่ยงกับ โรคไขมันพอกตับ  และเสี่ยงต่อมะเร็งตับได้

หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อเข้ารับการตรวจ โดยแพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจด้วยเครื่อง Liver Fibrosis Scan เป็นการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ รวมถึงติดตามการดำเนินโรค และประเมินความรุนแรงของภาวะตับแข็ง การตรวจด้วยวิธีนี้ไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อ ไม่ต้องเจ็บตัว ใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาที ที่สำคัญคือ ทราบผลหลังตรวจทันที

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี

โทร 02-734-0000 ต่อ 2960

  • Readers Rating
  • Rated 5 stars
    5 / 5 (4 )
  • Your Rating