ข้อมูลที่ควรรู้ของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 mRNA ในเด็ก - โรงพยาบาลเวชธานี

บทความสุขภาพ

ข้อมูลที่ควรรู้ของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 mRNA ในเด็ก

Share:

โรคโควิด-19 คืออะไร

โควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) ซึ่งติดต่อจากการสัมผัสกับละอองฝอยของน้ำลาย เสมหะ น้ำมูก ของผู้ติดเชื้อ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนถึงเริ่มมีอาการป่วยประมาณ 2-14 วัน

อาการของโรค

มีได้ตั้งแต่ ไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไอ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตาแดง มีผื่น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ในบางรายอาจมีปอดอักเสบ และ อาจรุนแรงเสียชีวิตได้

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) คืออะไร

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ มีเอ็มอาร์เอ็นเอที่ถูกห่อหุ้มด้วยลูกบอลไขมันไบโอ (LIPIDNANOPARTICLE) ที่ปกป้องเอ็มอาร์เอ็นเอให้เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์ จากนั้นจะถูกย่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเอ็มอาร์เอ็นเอเข้าไปในเซลล์จะเป็นเหมือนพิมพ์เขียวที่สั่งให้เซลล์ของมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม (SPIKE PROTEIN) ที่มีความจำเพาะและปลอดภัย ซึ่งจะกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันเลียนแบบการติดโรคโควิด-19 ตามธรรมชาติ

เด็กกลุ่มใดควรได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ

แนะนำให้ฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18 ปี ทุกคน และเด็กตั้งแต่อายุ 12 ถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 โรคเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโควิด-19 รุนแรง ดังต่อไปนี้

  1. บุคคลที่มีโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือ ในเด็กอายุ 12-13 ปี ที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไป , ในเด็กอายุ 13-15 ปี ที่มีน้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไป เด็กอายุ 15-18 ปี ที่มีน้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไป หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น
  2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
  3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
  4. โรคไตวายเรื้อรัง
  5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
  6. โรคเบาหวาน
  7. กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) จะต้องฉีดอย่างไร

ฉีด 2 เข็ม ฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์

ถ้าเด็กเคยติดโรคโควิด-19 และหายแล้ว ยังมีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนหรือไม่

โดยเฉพาะเด็กอายุ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18 ปี ทุกคนและเด็กตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไปที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่ว่าจะเคยติดเชื้อมาแล้วหรือไม่ก็ตาม เพราะอาจมีการติดเชื้อซ้ำได้ โดยสามารถฉีดได้เมื่อเด็กและวัยรุ่นหายจากความเจ็บป่วยและพ้นระยะการแพร่เชื้อคือ 14 วัน หลังจากเริ่มมีอาการหรือตรวจพบเชื้อ หรือ 21 วันในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีอาการรุนแรงหรือเเป็นผู้ป่วยภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แม้ข้อมูลในปัจจุบันจะแสดงให้เห็นว่าโอกาสติดเชื้อซ้ำซ้อนน้อยมากใน 3 เดือนแรกหลังจากหลังจากหายป่วย

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA)

วัคซีนมีความปลอดภัยสูง อาการข้างเคียงของวัคซีนนี้ในเด็กและวัยรุ่นไม่แตกต่างกับการฉีดในประชากรกลุ่มอายุอื่นๆ ซึ่งผลข้างเคียงส่วนใหญ่มีอาการเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง และหายภายใน 1-2 วัน อาการข้างเคียงเฉพาะที่พบบ่อย ได้แก่ เจ็บ ปวด บวม แดงร้อนในบริเวณที่ฉีดวัคซีน

 อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ ไข้ ปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน

อาการข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก ได้แก่

  • ปฏิกิริยาแพ้รุนแรง อาจมีอาการหายใจลำบาก ผื่นขึ้น หน้าบวม คอบวม ใจสั่น วิงเวียน
  • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อาจมีอาการ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น หน้ามืด มักพบใน 7 วัน หลังการฉีดแม้ว่าจะมีอาการข้างเคียง แต่ประโยชน์ในการป้องกันโรคจากวัคซีนมีมากกว่า

หากฉีดวัคซีนแล้วสงสัยมีปฏิกิริยาแพ้รุนแรง หลังกลับจากสถานบริการไปแล้ว ควรรีบไปโรงพยาบาล หรือโทร 1669 เพื่อรับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน

สิ่งที่ควรปฏิบัติอื่นๆ

  • ควรสังเกตอาการที่สถานพยาบาลหลังได้รับวัคซีน อย่างน้อย 30 นาที และควรสังเกตอาการต่อที่บ้าน หากมีอาการข้างเคียงควรแจ้งแพทย์ก่อนรับวัคซีนครั้งต่อไป
  • ควรรับวัคซีนตามกำหนด และเก็บบันทึกการรับวัคซีนไว้เป็นหลักฐาน
  • หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์

สอบถามเพิ่มเติมที่

ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลเวชธานี โทร. 02 734 0000 ต่อ 3310, 3312

  • Readers Rating
  • Rated 5 stars
    5 / 5 (4 )
  • Your Rating