มีนาคม 21, 2568
ในยุคที่การทำงานเต็มไปด้วยความเร่งรีบและความเครียด วัยทำงานหลายคนต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่มาพร้อมกับไลฟ์สไตล์ที่วุ่นวาย หนึ่งในนั้นคือ “โรคกรดไหลย้อน” ที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องและแสบทรวงอก แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนของโรคดังกล่าว ซึ่งกรดไหลย้อนเกิดจากหลายปัจจัยและมักมีอาการที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
กรดไหลย้อน Gastroesophageal Reflux Disease (GERD) คือ ภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ซึ่งอาจเป็นกรด ด่าง หรือแม้แต่แก๊ส เป็นอาการที่พบได้บ่อยขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงาน
เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน หลายคนมักจะรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา บางคนรับประทานอาหารเร็วเกินไป หรือไม่ใส่ใจในการเลือกเมนู เช่น ของทอด ของมัน หรืออาหารรสจัด ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกรดไหลย้อน รวมถึงการเข้านอนภายใน 2-3 ชั่วโมง หลังรับประทานอาหารก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร
ความเครียดจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นความกดดัน หรือการทำงานหนัก ย่อมเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดกรดไหลย้อน เนื่องจากสามารถกระตุ้นให้กระเพาะอาหารผลิตกรดมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้กล้ามเนื้อหูรูดที่ควบคุมการไหลของกรดทำงานได้ไม่ดี ส่งผลให้กรดไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหารได้ง่าย
การนอนดึกและการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นปัจจัยที่หลายคนมองข้าม ซึ่งความเหนื่อยล้าจะทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมการผลิตกรดในกระเพาะอาหารได้ดี จึงทำให้เกิดกรดไหลย้อนขึ้นได้ง่าย
การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องและลดแรงดันในช่องท้อง ซึ่งมีส่วนช่วยลดอาการกรดไหลย้อน ในทางกลับกัน หากไม่ออกกำลังกาย ระบบย่อยอาหารอาจทำงานไม่ดี ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารถูกสร้างมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน
หากมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย
เมื่อทราบแล้วว่ากรดไหลย้อนเกิดจากปัจจัยอะไรและมีอาการอย่างไรบ้าง การป้องกันและรักษาจึงควรทำอย่างรอบด้าน ซึ่งสามารถปฏิบัติได้โดย
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตที่จะสามารถช่วยป้องกันและรักษาอาการกรดไหลย้อนให้ดีขึ้นได้แล้ว การใช้ยายังเป็นอีกวิธีที่สามารถทำควบคู่กันไปได้ โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยา เช่น ยาต้านการหลั่งกรด (Proton Pump Inhibitors) ที่จะช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร อันเป็นสาเหตุหลักของอาการแสบร้อนกลางอก หรือยาช่วยเพิ่มการบีบตัวของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ซึ่งจะช่วยให้อาหารเคลื่อนตัวผ่านหลอดอาหารลงสู่กระเพาะอาหารได้เร็วขึ้น ลดโอกาสที่กรดจะไหลย้อนกลับขึ้นมา
โดยทั่วไป หากรักษาด้วยยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นระยะเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาการส่องกล้องหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เพื่อตรวจสอบภายในของหลอดอาหารและกระเพาะอาหารโดยตรงและหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร หลอดอาหารอักเสบ เกิดก้อนเนื้อ การตีบของหลอดอาหาร และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมซึ่งอาจมีการผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
กรดไหลย้อนเป็นโรคที่หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง หรือแผลในหลอดอาหาร หลอดอาหารตีบ มะเร็งหลอดอาหาร ดังนั้น หากมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน สามารถมาปรึกษาได้ที่ ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี ที่มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มที่ตั้งแต่การวินิจฉัยเบื้องต้น เพื่อรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยมีบริการที่หลากหลาย เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีส่องกล้อง การดูแลและฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการรักษา รวมถึงการให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตรงจุด
สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ชั้น 2 โรงพยาบาลเวชธานี โทร. 02-734-0000 ต่อ 2960, 2961, 2966