รู้ทันสัญญาณเตือน โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ | Vejthani

บทความสุขภาพ

รู้จักกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เตรียมสังเกตอาการ พร้อมการรักษา

มีนาคม 19, 2568

Share:

ผู้หญิงมีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

หลายคนอาจเคยเผชิญกับอาการปวดแสบขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ” หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่พบบ่อยในผู้หญิง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

กระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดจากอะไร ?

สาเหตุหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้ออีโคไล (E. coli) เมื่อเชื้อเหล่านี้แพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ ก็จะส่งผลให้ท่อปัสสาวะอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น

  • การระคายเคืองจากสารเคมี เนื่องจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลจุดซ่อนเร้นบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินปัสสาวะ
  • การกลั้นปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อกลั้นเป็นเวลานาน จะทำให้แบคทีเรียมีโอกาสเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดการติดเชื้อ
  • การมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะได้
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน หรือหญิงตั้งครรภ์ ที่มีฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อาจติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยมะเร็ง จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไป

ส่องสัญญาณเตือน ! กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีอาการอย่างไร ?

การรู้จักสังเกตอาการเบื้องต้นจะช่วยให้ตัดสินใจเข้ารับการรักษาที่ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยมีอาการที่บ่งชี้ ดังนี้

  • ปวดแสบขัดเวลาปัสสาวะ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะทำให้รู้สึกแสบร้อน หรือเจ็บ เมื่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย แต่มีปริมาณน้อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • ปวดท้องน้อย โดยอาจรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะมีสีขุ่น หรือมีเลือดปน
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
  • รู้สึกปวดเบ่ง แม้ว่ากระเพาะปัสสาวะจะไม่ค่อยมีปัสสาวะ
  • รู้สึกแสบร้อนหรือคันบริเวณอวัยวะเพศ
  • มีไข้ หรือรู้สึกหนาวสั่น

การตรวจวินิจฉัยกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

หากพบว่ามีอาการต้องสงสัยที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง โดยจะมีวิธีการตรวจดังนี้

1. การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์

ขั้นตอนแรกสำคัญที่สุด คือ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย พร้อมกับตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อประเมินสภาพทั่วไปของร่างกาย และหาสัญญาณบ่งชี้ของการติดเชื้อ

2. การตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะเป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดในการวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เพราะจะสามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจปัสสาวะจะพิจารณาในเรื่องของสีและความขุ่น, กลิ่น, จำนวนเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงเม็ดเลือดขาว ซึ่งบ่งบอกได้ถึงอาการอักเสบ

3. การตรวจเลือด

การตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพทั่วไปของร่างกาย เช่น ตรวจดูว่ามีการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือไม่ ตรวจดูค่าการทำงานของไต และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

4. การตรวจอัลตราซาวนด์

การตรวจอัลตราซาวนด์เป็นการตรวจที่ไม่ใช้รังสี ช่วยให้เห็นภาพของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อซ้ำ ๆ หรือเพื่อตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ

แนวทางการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ

การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดโรคซ้ำ ทั้งนี้จะใช้วิธีการรักษาแบบใดมักจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของอาการ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ปัจจุบันมีวิธีการรักษา ดังนี้

1. การใช้ยาปฏิชีวนะ

เนื่องจากสาเหตุหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การใช้ยาปฏิชีวนะจึงเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญที่สุด โดยแพทย์จะเลือกชนิดและขนาดของยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ ผู้ป่วยควรทานยาปฏิชีวนะครบตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาของโรค

2. จ่ายยารักษาตามอาการ

โดยอาจมีการใช้ยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ หรือยาคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อช่วยลดอาการปวดเบ่ง ทำให้ปัสสาวะได้ง่ายขึ้น

3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

นอกจากการรักษาด้วยการให้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการรักษา โดยผู้ป่วยควรดูแลตัวเองให้มากขึ้น ดังนี้

  • ดื่มน้ำเปล่าให้มาก เพื่อช่วยชะล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ อีกทั้งยังทำให้ได้ปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงของเหลวที่ระคายเคือง เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินปัสสาวะ
  • ไม่กลั้นปัสสาวะ เนื่องจากการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน จะเพิ่มโอกาสที่แบคทีเรียจะเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • รักษาความสะอาด หมั่นล้างอวัยวะเพศให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่ โดยเฉพาะก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์
  • สวมใส่กางเกงชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความชื้นในบริเวณอวัยวะเพศ

ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ?

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคที่มีอาการซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันที่อาจสร้างความรำคาญใจ การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคนี้ ซึ่งสามารถทำได้โดย

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ช่วยชะล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ปัสสาวะให้สม่ำเสมอ เมื่อรู้สึกอยากปัสสาวะ ควรไปเข้าห้องน้ำ เนื่องจากการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน จะทำให้แบคทีเรียมีโอกาสเพิ่มจำนวนและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
  • รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะบริเวณรูทวารหนักและช่องคลอด
  • หมั่นทำความสะอาด เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง หลังจากการขับถ่ายทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักแพร่กระจายเข้าสู่ช่องคลอดและทางเดินปัสสาวะ
  • สวมใส่กางเกงชั้นในที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความอับชื้นและลดโอกาสการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
  • ปัสสาวะหลังการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ช่วยชะล้างแบคทีเรียที่อาจเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีกลิ่นหอมแรง ซึ่งอาจส่งผลระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินปัสสาวะ
  • ควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปอาจกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่หมดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยง หรือเกิดสัญญาณอาการท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องทันทีที่ศูนย์สุขภาพสตรี ชั้น 2 โรงพยาบาลเวชธานี พร้อมให้บริการด้วยเครื่องมือตรวจรักษาที่ทันสมัย โดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-734-0000 ต่อ 3200