มีนาคม 19, 2568
หลายคนอาจเคยเผชิญกับอาการปวดแสบขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ” หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ที่พบบ่อยในผู้หญิง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
สาเหตุหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้ออีโคไล (E. coli) เมื่อเชื้อเหล่านี้แพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ ก็จะส่งผลให้ท่อปัสสาวะอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น
การรู้จักสังเกตอาการเบื้องต้นจะช่วยให้ตัดสินใจเข้ารับการรักษาที่ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยมีอาการที่บ่งชี้ ดังนี้
หากพบว่ามีอาการต้องสงสัยที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง โดยจะมีวิธีการตรวจดังนี้
1. การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์
ขั้นตอนแรกสำคัญที่สุด คือ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย พร้อมกับตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อประเมินสภาพทั่วไปของร่างกาย และหาสัญญาณบ่งชี้ของการติดเชื้อ
2. การตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะเป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดในการวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เพราะจะสามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยการตรวจปัสสาวะจะพิจารณาในเรื่องของสีและความขุ่น, กลิ่น, จำนวนเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงเม็ดเลือดขาว ซึ่งบ่งบอกได้ถึงอาการอักเสบ
3. การตรวจเลือด
การตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพทั่วไปของร่างกาย เช่น ตรวจดูว่ามีการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือไม่ ตรวจดูค่าการทำงานของไต และตรวจหาภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
4. การตรวจอัลตราซาวนด์
การตรวจอัลตราซาวนด์เป็นการตรวจที่ไม่ใช้รังสี ช่วยให้เห็นภาพของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อซ้ำ ๆ หรือเพื่อตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ
การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และป้องกันไม่ให้เกิดโรคซ้ำ ทั้งนี้จะใช้วิธีการรักษาแบบใดมักจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของอาการ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ปัจจุบันมีวิธีการรักษา ดังนี้
เนื่องจากสาเหตุหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การใช้ยาปฏิชีวนะจึงเป็นวิธีการรักษาที่สำคัญที่สุด โดยแพทย์จะเลือกชนิดและขนาดของยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ ผู้ป่วยควรทานยาปฏิชีวนะครบตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาของโรค
โดยอาจมีการใช้ยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนขณะปัสสาวะ หรือยาคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อช่วยลดอาการปวดเบ่ง ทำให้ปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
นอกจากการรักษาด้วยการให้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อการรักษา โดยผู้ป่วยควรดูแลตัวเองให้มากขึ้น ดังนี้
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคที่มีอาการซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันที่อาจสร้างความรำคาญใจ การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคนี้ ซึ่งสามารถทำได้โดย
หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยง หรือเกิดสัญญาณอาการท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องทันทีที่ศูนย์สุขภาพสตรี ชั้น 2 โรงพยาบาลเวชธานี พร้อมให้บริการด้วยเครื่องมือตรวจรักษาที่ทันสมัย โดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือนัดหมายแพทย์ล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-734-0000 ต่อ 3200