ปัจจุบันมีการพัฒนาเครื่อง Digital Breast Tomosynthesis (DBT) เป็นแบบ 3 มิติ ใช้เวลาถ่ายภาพเอกซเรย์เพียง 3.7 วินาทีต่อท่า สามารถแยกก้อนเนื้อในเต้านมที่แน่น (dense breast) ได้อย่างชัดเจน ลดการทับซ้อนของเนื้อและให้ภาพละเอียดมากขึ้น เป็นวิธีที่ดีกว่าเครื่องแมมโมแกรม 2 มิติในการค้นพบมะเร็งเต้านม
การทำอัลตราซาวดน์ช่วยในการวินิจฉัยโดยแสดงขนาดและขอบเขตของก้อนเนื้อหรือถุงน้ำ โดยทำได้ทันทีโดยไม่ต้องดมยาสลบ และสามารถเจาะชื้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมได้ทันที ด้วยขนาดแผลเล็ก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลและไม่ต้องรับยาสลบ
ศูนย์เต้านม ชั้น 3 โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-7340000 ต่อ 2715, 2716
ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่รอปลูกถ่ายไตกว่า 6,000 คน โดยเฉลี่ยหนึ่งคนจะรอประมาณ 4-5 ปี ซึ่งโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายคือ ภาวะที่ไตทำงานน้อยกว่า 15% จะมีอาการปัสสาวะผิดปกติ มีฟองมากขึ้น ปัสสาวะกลางคืนบ่อย สีขุ่น มีเลือดปน ตาบวมหน้าบวมหลังตื่นนอน ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หน้าซีด ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน
โรงพยาบาลเวชธานีมีอายุรแพทย์โรคไตที่จะเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย ถ้าผู้ป่วยเหมาะสมกับการฟอกไตก็จะแนะนำการฟอกไตต่อเนื่อง ส่วนผู้ป่วยที่เหมาะสมกับการปลูกถ่ายไต ก็จะมีการแนะนำขั้นตอน เตรียมความพร้อมการผ่าตัดด้วยทีมสหวิชาชีพ หลังผ่าตัดจะมีห้องปลอดเชื้อในการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการติดตามผู้ป่วยต่อเนื่อง จนกว่าผู้ป่วยจะมีสุขภาพแข็งแรง
วิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ดีที่สุดคือ การปลูกถ่ายไต ที่สามารถทำให้ไตกลับมาทำงานปกติใกล้เคียงกับของเดิม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อายุยืน และไม่ต้องกลับมาฟอกไตอีกตลอดชีวิต
การรับบริจาคไตเพื่อผ่าตัดเปลี่ยนไตมี 2 วิธี คือ การบริจาคจากญาติพี่น้อง สามีภรรยา ที่ยังมีชีวิต มีโอกาสสำเร็จเกิน 95 % หรือไปลงทะเบียนผ่านโรงพยาบาลที่เป็นสมาชิกของสภากาชาดไทย เพื่อรอรับบริจาคไตจากผู้บริจาคสมองตาย
แม้ว่าผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องฟอกไตอีกต่อไปแล้ว แต่ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไตสำเร็จก็ยังมีความจำเป็นต้องมาพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง และดูแลตัวอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันร่างกายต่อต้านไตไปตลอดชีวิต ซึ่งจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้ หลังการผ่าตัดเปลี่ยนไต ผู้ป่วยจึงต้องดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างเคร่งครัด ลดการอยู่ในที่ชุมชนที่แออัด เสี่ยงต่อโรค หรืออยู่ในที่ที่สิ่งแวดล้อมไม่สะอาด ควรล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารที่มีไขมันสูงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ไม่แนะนำให้คลุกคลีกับสัตว์ แต่หากว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้รักษาความสะอาดภายในบ้านให้ดีเยี่ยม เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การผ่าตัดเปลี่ยนไต เป็นแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และมีความซับซ้อนสูง ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ รวมถึงมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย หากผู้ป่วยต้องการเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ศูนย์ปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลเวชธานี
ศูนย์ไตเทียม ชั้น 4 โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-7340000 ต่อ 5021
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นภาวะที่หลอดเลือดหัวใจเกิดการตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ ซึ่งหากหลอดเลือดมีการตีบตันหลายตำแหน่งหรือหลายเส้น แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ปัจจุบันมีเทคนิคที่เรียกว่าการผ่าตัดบายพาสหัวใจด้วยเทคนิค “โดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม” (Off-Pump CABG) ทำให้ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาจากการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม ลดอัตราการเสียเลือดลดลง ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
นายแพทย์ชวกร เหลี่ยมไพรบูรณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือการที่หลอดเลือดหัวใจมีการตีบหรือตันเลือดจึงไม่สามารถไหลผ่านได้สะดวก ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ซึ่งการตีบหรือตันเกิดจากการที่มีไขมันหรือหินปูนเกาะในหลอดเลือด โดยมีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว เช่น โรคไขมันในหลอดเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่
ทั้งนี้ เมื่อเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ จะก่อให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หากเป็นมากขึ้นอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ เพราะฉะนั้นหากเริ่มมีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีหลายวิธี ตั้งแต่การรับประทานยา, การทำบอลลูนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือด, ในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจมีการตีบตันหลายตำแหน่งหรือหลายเส้น แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เป็นการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจเพื่อให้เลือดได้ไหลผ่านแทนหลอดเลือดเดิมที่ตีบตัน
การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจวิธีที่ทำกันมานาน และยังทำเป็นมาตรฐานอยู่ เป็นการผ่าตัดโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (On-Pump CABG) ร่วมกับทำให้หัวใจหยุดเต้น แพทย์จะสามารถผ่าตัดได้อย่างสะดวก แต่จากการศึกษาพบว่าเครื่องปอดและหัวใจเทียมอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะอักเสบในร่างกาย อาจทำให้การฟื้นตัวและการทำงานของหัวใจลดลง อีกทั้งยังส่งผลต่อเกล็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติหลังผ่าตัดได้
ในปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดที่เรียกว่า การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช่เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump CABG) เป็นวิธีผ่าตัดที่หัวใจไม่หยุดเต้นในระหว่างการผ่าตัด โดยแพทย์จะนำเครื่องมือเข้ามาเกาะยึดหัวใจให้หยุดนิ่งในตำแหน่งที่จะทำการผ่าตัด โดยที่หัวใจยังเต้นอยู่ สามารถผ่าตัดได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม
ลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม เสียเลือดน้อยกว่า ลดอัตราการเติมเลือดในขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัด ลดระยะเวลาการผ่าตัดและดมยาสลบสั้นลง ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ระยะพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้นลง ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจด้วยเทคนิคไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม เป็นทางเลือกการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการใช้เทคนิคนี้ จึงจะช่วยให้การผ่าตัดรวดเร็ว เกิดประโยชน์สูงสุด และปลอดภัยกับตัวผู้ป่วยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังการรักษา
ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5300
การผ่าตัดหลังแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Spine Surgery: MIS) เป็นทางเลือกในการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีข้อดีหลายอย่าง เช่น แผลผ่าตัดขนาดเล็ก เสียเลือดน้อย อาการปวดหลังผ่าตัดน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว
ในวิดีโอนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับการผ่าตัดหลังแบบ MIS กันมากขึ้น ว่าคืออะไร มีข้อดีอย่างไร และเหมาะกับใครบ้าง
นอกจากนี้ เราจะพาไปดูขั้นตอนการผ่าตัดหลังแบบ MIS ผ่านภาพและวิดีโอ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ศูนย์กระดูกสันหลัง ชั้น 2 อาคาร King of Bones โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5500
หลอดเลือดหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มักเกิดในผู้ชายที่อายุมากกว่า 55 ปี ผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปี หรือคนที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน สูบบุหรี่เป็นประจำ ขาดการออกกำลังกาย ตลอดจนคนที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรค ซึ่งโรคนี้มักไม่แสดงอาการตั้งแต่ระยะแรก
แต่ถ้า ! ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือเจ็บจุกเหมือนมีอะไรกดทับที่หน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจไม่สุด เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม หมดสติหรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดเต้น นั้นแปลว่าหลอดเลือดมีภาวะตีบมากกว่าร้อยละ 50 แล้ว ดังนั้น การตรวจหาความผิดปกติหรือการตรวจเช็กการทำงานของหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยง จะค้นพบโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกและทำให้การรักษาไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อน
ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5300
สัญญาณโรคซึมเศร้าในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ “ความเศร้า” อย่างเดียว หลาย ๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่าโรคซึมเศร้าจะมีแค่เศร้า แต่จริง ๆ แล้ว ความเศร้านั้นพบได้คนในปกติทั่วไป แต่โรคซึมศร้านั้นจะประกอบกับอาการอื่นหลายอย่าง เช่น เริ่มมีความเศร้าคุกคามคือเศร้ามาก เศร้านาน หรือบางครั้งที่ไม่มีเรื่องกระตุ้นความเศร้าก็สามารถเกิดความเศร้าได้ ขณะที่บางรายอาจจะไม่ได้รู้สึกเศร้า แต่รู้สึกว่าความสุขหายไป ทำอะไรก็ไม่มีความสุข สิ่งที่เคยชอบทำก็ไม่อยากทำ ร่วมกับพฤติกรรมการรับประทานที่มากหรือน้อยไปจนผิดปกติ การนอนหลับที่ผิดปกติ มีปัญหาเรื่องสมาธิแย่ลง ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองลดลง ถ้าเป็นมาก ๆ อาจจะเหนื่อยอ่อนล้า อ่อนแรง ทำให้การทำงาน การใช้ชีวิตและการเรียนแย่ลง ถ้าเป็นมาก ๆ แล้วไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่อาการ “อยากฆ่าตัวตาย” ได้
ถ้าความเศร้าเริ่มคุกคามแล้วต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ “ตั้งสติ” แล้วเริ่มจดรวบรวมอาการของตัวเอง ว่ามีสาเหตุอะไรชัดเจนบ้าง แล้วลองแก้ที่สาเหตุนั้นในเบื้องต้น แต่ถ้าลองแก้ที่สาเหตุแล้วพบว่ามันมากเกินไป หรือไม่มีสาเหตุ หรือพยายามแก้เรื่องที่เป็นปัจจัยกระตุ้นแล้วแต่ยังไม่ดีขึ้น แล้วมีคำว่าอยากตาย หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบจิตแพทย์ทันที
สิ่งที่ไม่ควรพูดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
คำพูดในเชิงลบและในเชิงกดดัน เช่น ทำไมเธอไม่แข็งแรง ทำไมเธอไม่พยายาม ทำไมไม่เธอไม่หยุด ประโยคเหล่านี้จะยิ่งทำให้บั่นทอนผู้ป่วยมากขึ้น เนื่องจากหลายคนเข้าใจผิดว่า ต้องกดดันหรือต้องทำให้ผู้ป่วยรู้สึกฮึกเหิม แต่วิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับคนที่ป่วยป็นโรคซึมเศร้า แม้แต่คนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าฟังแล้วยังรู้สึกแย่ได้ ดังนั้นอย่านำคำพูดเหล่านี้มาใช้กับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเด็ดขาด เพราะคำพูดกดดันไม่ใช่การช่วยเหลือ
พูดแบบไหนดีต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
คำพูดที่เป็นการแสดงความรักหรือความห่วงใย ถ้าหากเราไม่รู้จะพูดอะไรแนะนำว่าให้เริ่มจากการรับฟัง เริ่มจากการรับฟังเขาให้มาก ฟังด้วยความตั้งใจ บางครั้งหลาย ๆ คน อยากได้รับฟังอยากได้คนระบาย สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ผู้ป่วยผ่อนคลายหรือลดความเศร้าลงได้มากเลยทีเดียว
โรคซึมเศร้ารักษาได้
ปัจจุบันเรามีความรู้ที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเยอะมากๆ แล้วที่สำคัญ “โรคซึมเศร้า” เป็นโรคที่สามารถรักษาได้
ถ้าตัวเองหรือคนรอบข้างป่วยเป็นโรคซึมเศร้า สิ่งแรกที่แนะนำคือรีบไปหาจิตแพทย์ อย่าเก็บเอาไว้ ยิ่งเก็บไว้นานการรักษาจะยิ่งยากขึ้น ถ้าไปเร็วการรักษาก็จะง่ายกว่า ก่อนไปพบจิตแพทย์ถ้าเรามีข้อข้องใจเราสามารถจดบันทึกไว้ได้ก่อน เมื่อไปถึงแล้วก็ปรึกษาจิตแพทย์ได้เลย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเพราะปัจจุบันมีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมากมายก็อาจจะมีทั้งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องได้ หากได้รับการประเมินวินิจฉัยจากจิตแพทย์แล้วว่าเป็นโรคซึมเศร้าจริง ๆ เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ควรรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้หายขาดจะดีที่สุด ไม่ควรหยุดหรือปรับยาเอง ควรไปรักษาตามนัดหมาย เพราะโรคซึมเศร้าอาจจะกำเริบกลับมาแล้วอาจจะเป็นหนักกว่าเดิมได้
ผู้ป่วยบางรายมีความคดไม่เยอะมากนักแต่ก็ทำให้ขาดความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ขณะที่ผู้ป่วยบางรายที่มีกระดูกสันหลังคดเยอะขึ้นจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย หากกรณีมีมุมคดเยอะเพิ่มขึ้นจะมีอาการต่ออวัยวะในระบบอื่นๆ มีการเบียดทับเส้นประสาทได้ เช่น มีการชา อ่อนแรง สูญเสียการทรงตัวได้ ถ้ามีความคดในช่วงทรวงอกอาจทำให้ปริมาตรปอดลดลง
สำหรับโรคกระดูกสันหลังคดที่พบได้มากในปัจจุบันมักจะเป็นโรคกระดูกสันหลังในวัยรุ่น ซึ่งเป็นผลจากกรรมพันธุ์ส่วนหนึ่ง การป้องกันอาจจะทำได้ไม่มากนักเพราะเป็นส่วนหนึ่งของพันธุกรรม แต่ขอให้หมั่นสังเกตตัวเองหากเริ่มมีอาการกระดูกสันหลังคดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาแม้เราจะไม่สามารถป้องกันไม่ได้เกิดขึ้นได้ แต่หากตรวจพบได้ไวก็สามารถควบคุมอาการไม่ให้หนักได้
โดยปกติแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่ประมาณ 50-100 ครั้งต่อนาที หากมีอัตราการเต้นช้าหรือเร็ว หรือมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นแรง เจ็บแน่นหน้าอก หน้ามืด ก็จะเข้าข่ายภาวะ “หัวใจเต้นผิดจังหวะ”
หากปล่อยไว้นาน หรือไม่รักษาให้ถูกวิธี อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหลอดเลือดสมองอุดตัน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ปัจจุบันโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยเทคโนโลยีการจี้คลื่นวิทยุไฟฟ้าหัวใจ โดยแพทย์จะใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงสวนเข้าไปที่หัวใจ และปล่อยคลื่นไฟฟ้าเข้าไปรักษา
การรักษาด้วยวิธีนี้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดถึง 98% โดยไม่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต สามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้แบบไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกต่อไป
ศูนย์หัวใจ ชั้น 5 โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5300, 5301
อาการ “ปวดหัว” ถือเป็นโรคยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย แต่หากปวดหัวอย่างรุนแรง อาจเสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดในสมองโป่งพองหรือการมีเลือดออกในสมองได้
ในผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการ และแทบจะไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เส้นเลือดที่โป่งพองนั้นแตก จนนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือการเสียชีวิตได้อย่างกะทันหัน
หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อตรวจวินิจฉัย และได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังลดความเสี่ยงภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือการเสียชีวิตได้อย่างกะทันหันได้อีกด้วย
ศูนย์สมองและระบบประสาท ชั้น 1 โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5400